เชื้อสายของคนไทยและเวียดนามเมื่อประมาณ
4
พันปีมาเเล้วล้วนแต่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน
ความเปลี่ยนแปลงทางการปกครองในอดีตอันยาวนาน
การก่อตั้งอาณาจักรโบราณต้องรวบรวมอาณาจักรใหม่บ้างหรือการอพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่บ้าง
จนทำให้เกิดอาณาจักรที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ชาวเวียดนามเดิมตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของจีน
การรุกรานของเผ่าที่มีกำลังหรืออำนาจที่เข้มแข็งกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
ชนเผ่าที่อ่อนกำลังกว่าจึงมีการอพยพถอยร่นมาทางใต้
การรุกรานจากจีนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในภูมิภาคนี้
ความพยายามที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่างๆไปเผยเเพร่ที่ดินเเดนเเห่งนี้
กลับถูกชาวพื้นเมืองต่อต้านอย่างรุนเเรง
ในสมัยราชวงศ์ถังพื้นที่ประเทศเวียดนามต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนบ่อยครั้ง
และเกิดการต่อสู้กับจีนบ่อยที่สุด ในขณะที่จีนครอบครองอยู่ชาวจีนมักจะยพยพเข้าไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อกลืนชาติชาวเวียดนาม
ศิลปะของจีนทุกเเขนง ศาสนาพุทธ ลัทธิต่างๆ รวมทั้งอักษรจีน
ได้เข้าสู่ดินเเดนเเห่งนี้ สมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์หมิงภายใต้การบริหารอันเข้มเเข็งของรัฐบาลจีนมีการบังคับให้ชาวเวียดนามเเต่งกายตามเเบบชาวจีน
ทำลายล้างความเป็นชาติเวียดนามโดยการเผาบันทึกทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น
ซึ่งหากเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์ไทยแล้ว ก็พบว่าการอพยพ
การต่อสู้หรือการรุกราน ก็มีมาตลอดเฉกเช่นเดียวกัน
ประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ ไทย-เวียดนาม
เป็นประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนาน
มีความเป็นมาหยั่งรากลึกเข้าไปในอดีตอันไกลโพ้น
มิใช่เริ่มกันแค่เพียงในคริสตศตวรรษที่
20 นี้เท่านั้น
หากจะสืบสานราวเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ในอดีตก็คงจะพบว่าการติดต่อสัมพันธ์หยั่งรากลึก
และมีความเป็นมาจากการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้า นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่
12 เป็นอย่างน้อย
ประเทศไทย-เวียดนามมีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าในตอนต้นศตวรรษที่
12 คือ ปี ค.ศ.1184
โดยพ่อค้าจากสยามได้เดินทางไปทำการค้าที่เมืองเวิน โดน
(Van Don) ที่อ่าว Ha Long
ต่อมาในศตวรรษที่ 15
เรือสินค้าและทูตจากกรุงศรีอยุธยาก็ได้เดินทางไปอีกครั้ง
เพื่อขอค้าขายและขอให้ลดหย่อนภาษีเทียบท่าเพื่อนำสินค้ามาขาย
หรือเรือสินค้าเข้ามาหลบพายุ หรือต้องผ่านทะเลไปยังประเทศอื่นเช่น จีน
โดยเวียดนามได้ตอบตกลงการลดหย่อนภาษีของกรุงศรีอยุธยา
พร้อมทั้งส่งเครื่องบรรณาการมายังราชสำนักแห่งกรุงศรีอยุธยา
การค้าและการติดต่อสัมพันธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีทางการค้าและทางการทูตระหว่างสองฝ่ายในขณะนั้น
และก็ดำเนินด้วยดีโดยตลอดมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากศตวรรษที่ 17
ถึงศตวรรษที่ 19
ว่ากันว่าจากศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่
19 นั้น สยามได้ส่งเรือไปค้าขายกับเวียดนามที่
Hoi Au (อยู่ทางใต้ของคาบัส)
และตามท่าเรือทางใต้ของประเทศถึง 40-50
ลำ
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศทั้งสองเด่นชัดอีกครั้งในรัชสมัยราชวงศ์จักรี
ในช่วงต้นดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีไมตรีอันดีต่อกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามได้เสื่อมลงในสมัยรัชกาลที่ 3
เพราะความไม่ไว้วางใจ
ความหวาดระแวงอันสืบเนื่องมาจากการแข่งขันและแสวงหาอิทธิพลในลาวและเขมรของไทยและเวียดนาม
และในช่วงสงครามเวียดนาม ประธานาธิบดี ตรันวันมินห์
แห่งเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย
โดยกระทรวงกลาโหมของไทยได้จัดกำลังรบภาคพื้นดิน ไปปฏิบัติการใน
เวียดนามใต้
หลังจากนั้นต่อมาไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามเมื่อวันที่
6 สิงหาคม 2519
และเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงฮานอย และสถานกงสุลใหญ่ที่นครโฮจิมินห์
เมื่อปี 2521 และ 2535
ตามลำดับ ประเทศเวียดนามเองก็ได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทยเมื่อปี
2521 สถานะความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย -
เวียดนามในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ดี ไม่มีปัญหาสำคัญค้างคา
มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง
มีการไปมาหาสู่ระหว่างกันเพิ่มขึ้น
รวมถึงในระดับท้องถิ่นจากการที่มีเส้นทางเชื่อมโยงถึงกันค่อนข้างสะดวก
ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำความตกลงรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างกันรวมแล้วกว่า
40
ฉบับ
ส่วนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของไทยกับเวียดนาม
นับแต่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันได้พัฒนาสูงขึ้นเป็นลำดับ
ในปัจจุบันมูลค่าทางการค้าระหว่างประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความน่าสนใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานของทั้งสองประเทศเป็นมาอย่างไรมีความน่าตื่นเต้นตึงเครียดแค่ไหน
เป็นสิ่งที่ควรรู้เขารู้เรา ดังนั้นสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ
จึงเห็นควรจัดสัมมนาในหัวข้อ ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม:
มองอดีต คิดถึงอนาคต
ขึ้น
|