ปีงบประมาณ
2537
ชื่อโครงการวิจัยเรื่อง
ศาสนาและลัทธิความเชื่อของชาวจีน
:
การรวมศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื๊อ
ชื่อผู้ทำวิจัย
รศ.ดร.สุรชัย
ศิริไกร
ปีที่แล้วเสร็จ
จำนวนหน้า 67
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย
ศาสนาพุทธ
ขงจื๊อและเต๋า นั้นมีหลักธรรมที่แตกต่างกันมากหลายประการ
ที่คล้ายคลึงกันนั้นมีน้อยและมักไม่เป็นที่รู้จัก ท่านพระสังฆปรินายกองค์ที่
6
เหวยหล่าง
ของนิกายฌานของจีนได้กล่าวถึงความแตกต่างของหลักธรรมของสามศาสนาโดยสรุปได้อย่างน่าฟังว่า
ขงจื๊ออยากอยู่
เต๋าไม่อยากตาย พุทธไม่อยากเกิด
กล่าวคือ ท่านขงจื๊อซึ่งเป็นศาสดาของลัทธิขงจื๊อ มุ่งสอนแต่โลกีย์ธรรม
เพื่อที่จะให้มนุษย์ที่เกิดมาแล้วในโลกนี้จะมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข
มีคุณธรรมและสังคมมีสันติสุข หลักคุณธรรมของขงจื๊อที่มีชื่อเสียง
เป็นที่ยอมรับและเป็นคุณธรรมพื้นฐานของสังคมจีนมาเป็นเวลาช้านานกว่าสองพันปีคือ
คุณธรรม 8
ประการ ประกอบด้วย
(เหา)
ความกตัญญูกตเวทิคุณต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณ
(ตี้)
ความเคารพรักใคร่ปรองดองระหว่างญาติมิตรพี่น้อง
(จง)
ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อผู้ปกครอง
(ซิ่น)
ความสัจจวาจา
(หวี่)
ความมีมารยาท
(อี้)
ความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่
(เนี้ยน)
ความบริสุทธิ์กายและใจ และ
(ฉี)
มีหิริโอตตัปปะ ส่วนศาสนาเต๋าที่ว่าไม่อยากตายนั้นท่านเหลาจื๊อศาสดาของลัทธิเต๋าได้มองเห็นว่า
ลาภ ยศ สรรเสริญ
และชีวิตที่ทุกข์และสุขนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวเดียว
แล้วก็ผ่านไปเหมือนฝัน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
และไม่มีมนุษย์คนใดหนีพ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ชีวิตมนุษย์ช่วงสั้นและร่างกายไม่ทนทาน
แต่ถ้ามนุษย์อยากมีชีวิตที่เป็นอมตะยืนยาวคู่ฟ้าดิน มนุษย์ต้องละทิ้งโลกีย์วิสัย
เจริญสมาธิและฝึกจิตและพลังลมปราณในร่างกาย จะทำให้มีชีวิตยืนยาว
หรือถ้าฝึกจิตสำเร็จเต๋าเป็นเทพหรือเซียนก็มีจิตที่เป็นอมตะอยู่ร่วมกับพลังของฟ้าและดินได้
และประการสุดท้ายที่กล่าวว่า
พุทธไม่อยากเกิด
นั้น เพราะสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่ามนุษย์ล้วนตกอยู่ในกระแสของวิบากกรรมในวัฎสงสารซึ่งเป็นทุกข์
การเกิดเป็นทุกข์
การจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้มีวิธีเดียวคือการหมดกิเลสหลุดพ้นจากวัฎสงสารจึงจะไม่เกิดอีก
ฉะนั้น พุทธจึงไม่อยากเกิด
ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง
และอนัตตา
ดังนั้น
ถ้าพิจารณาหลักธรรมของสามศาสนานี้แล้ว
ศาสนาพุทธมีหลักธรรมที่คล้ายคลึงกับศาสนาเต๋ามากกว่าศาสนาขงจื๊อ
แต่เมื่อพุทธศาสนาแพร่หลายเข้าไปในประเทศจีน
ชาวจีนในระยะแรกเริ่มก็มองว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนต่างชาติไม่เหมาะสมกับชาวจีน
และชาวจีนก็มีศาสนาของตนอยู่แล้วคือ ศาสนาขงจื๊อและเต๋า
จึงไม่จำเป็นต้องรับเอาศาสนาของคนต่างชาติจึงก่อให้เกิดความขัดแย้งอิทธิพลกันขึ้นในราชสำนักระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาขงจื๊อและเต๋าอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์จีนที่ผ่านมา
แต่พุทธศาสนามีข้อได้เปรียบตรงที่หลักธรรมมีความละเอียดลึกซึ้งและครอบคลุมกว้างขวางมากกว่าหลักปรัชญาของศาสนาขงจื๊อ
และเต๋า จึงเป็นที่ยอมรับของประชาชนจีนอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่องค์จักรพรรดิ์
ข้าราชการ บัณฑิต พ่อค้า และเกษตรกร
แต่พุทธศาสนาก็ถูกต่อต้านโดยนักพรตเต๋าและข้าราชการลัทธิขงจื๊อบางกลุ่มที่มองเห็นว่าพุทธศาสนาอาจเป็นภัยต่อวัฒนธรรมจีน
และอำนาจของจักรพรรดิ์
การผสมผสานระหว่างปรัชญาของศาสนาพุทธกับเต๋าและกับวัฒนธรรมและอุปนิสัยของชาวจีนทำให้เกิดพุทธศาสนานิกายใหม่ๆ
ขึ้นในประเทศจีน
ในขณะเดียวกันผู้นำศาสนาเต๋าและขงจื๊อก็รับเอาปรัชญาพุทธศาสนาไปปรับปรุงคำสอนศาสนาของตน
ทำให้เกิดการปฏิรูปของศาสนาเต๋าและขงจื๊อด้วย
การผสมผสานและการปฏิรูปของศาสนาทั้งสามทำให้หลักธรรมของทั้งสามศาสนามีความคล้ายคลังกันมากขึ้น
และเกิดขบวนการรวมสามศาสนาเข้าด้วยกันในยุคราชวงศ์ซ่งและหมิง
ชาวจีนส่วนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนในภาคใต้จึงเคารพนับถือศาสนาพุทธ
เต๋าและขงจื๊อรวมกันโดยไม่มีความรังเกียจมาจนถึงปัจจุบัน
รวมทั้งชาวจีนโพ้นทะเลต่างๆ
ที่ส่วนใหญ่อพยพจากภาคใต้ของประเทศจีนสู่ประเทศเอเชียอาคเนย์และประเทศอื่นๆ
งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาประวัติความเป็นมาของการรวมศาสนาพุทธ
เต๋าและขงจื๊อในประเทศจีน โดยการค้นคว้าประวัติศาสตร์ศาสนา
ศึกษาคัมภีร์และหลักคำสอนของทั้งสามศาสนาและงานวิจัยต่างๆ
ของนักวิชาการในเชิงประวัติศาสตร์และคุณภาพ
เพื่อให้ทราบว่าสามศาสนามีการปฏิรูปและผสมผสานปรัชญาของแต่ละศาสนาอย่างไรบ้าง
รวมทั้งปัจจัยทางด้านสังคมเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละยุคสมัยที่มีอิทธิพลต่อการรวมสามศาสนาด้วยจากยุคราชวงศ์ถังถึงหมิง
|