English

Map

Link

Service

Web Board

E-Mail

Change Password

   

 


 

 

   
 

ปีงบประมาณ 2537

 

การวิจัยเรื่อง               ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-จีนและญี่ปุ่น  (Economics Relationship between Thailand China and Japan)  

ชื่อผู้ทำวิจัย                นายสุทิน สายสงวน 

จำนวนหน้า                หน้า

 

บทคัดย่อภาษาไทย

 

ประเทศมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์  คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และญี่ปุ่น   หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อเดือนสิงหาคม 2534 เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การปรับตัวทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้   ญี่ปุ่นและจีนเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและทางการทหารตามลำดับ จำเป็นต้องเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศเพื่อถ่วงดุลกันและกัน   แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับมหาอำนาจทั้งสอง  แต่มีศักยภาพอันเนื่องมาจากภูมิรัฐศาสตร์และเป็นแกนนำสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน    ดังนั้นโอกาสนี้จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมสำหรับไทย จีน และญี่ปุ่นในการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น การศึกษาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศทั้งสามจะเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้ ชัดเจนขึ้น   สำหรับใช้เป็นข้อมูลสำหรับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาและอาจเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศด้วย    วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางการค้าและลงทุน ในอดีตและปัจจุบัน  เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตต่อสถานภาพ ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จีนและญี่ปุ่น และภูมิภาคเอเชียอาคเนย์  เพื่อศึกษาทิศทางและวิธีการปรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนและญี่ปุ่นในการถ่วงดุลอำนาจและผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และ เพื่อวิเคราะห์ทิศทางและวิธีการปรับตัวของไทยผ่านความร่วมมือกับจีนและญี่ปุ่น   ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ คือ การวิจัยเอกสารและวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษาอาจสรุปได้ดังนี้

1.ความสัมพันธ์ทางการค้าและลงทุน ในอดีตและปัจจุบัน ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย เมื่อปี 2540  ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-จีนมีมานานนับพันปีอาจมีบางช่วงชะงักมักเป็นผลมาจากอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศ  แต่ก็สร้างความสัมพันธ์ขึ้นใหม่   อาทิ ปี 2490 ไทยกับจีนคณะชาติได้ลงนามสนธิสัญญาทางไมตรีและแลกเปลี่ยนผู้แทนทางการฑูตและกงสุลซึ่งกันและกัน  สองปีต่อมาเปิดความสัมพันธ์ทางการค้าไทยจีน แต่ถัดมาเพียงปีเดียวเมื่อเกิดสงครามเกาหลี ไทยก็งดทำการค้ากับจีนเพื่อเอาใจสหรัฐอเมริกา  เป็นต้น    ส่วนด้านการลงทุนนั้น ภายหลังจีนเปิดประเทศและได้ต้อนรับนักลงทุนต่างประเทศ ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจต่างประเทสจำนวนนมากรวมทั้งนักธุรกิจไทย   เมื่อปี 2533 ผลการสำรวจอัตราความเสี่ยงของการลงทุนระหว่างประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย 10 ประเทศ  ระบุว่า จีน มีอัตราเสี่ยงสูงสุด ไทยเป็นอันดับสี่ ขณะที่ญี่ปุ่นมีอัตราเสี่ยงต่ำสุด แต่เงินทุนต่างประเทศก็ไหลเข้าประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง    สำหรับความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-ญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาช้านาน ชะงักไปช่วงญี่ปุ่นปิดประเทศ  ช่วงที่ไทยงดทำการค้ากับจีนในช่วงสงครามเย็นทำให้นักธุรกิจไทยส่วนหนึ่งต้องหันไปทำการค้ากับญี่ปุ่นแทน  ในที่สุด ญี่ปุ่นกลายเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย   มีมูลค่าการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นตามลำดับโดยที่ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ามาตลอด  ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้ลงทุนในไทย เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เงินเยนแข็งค่าขึ้น และปัญหาค่าจ้างแรงงานในประเทศญี่ปุ่นสูงขึ้น บรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งได้ย้ายฐานการผลิตสู่ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เพื่อลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงานราคาถูก ขยายการตลาด และเพื่อต้องการลดการต่อต้านจากประชาชนในท้องถิ่นอันเนื่องมาจากการเกรงกลัวว่าจะถูกครอบงำทางเศรษฐกิจ ทว่าตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นตกต่ำและซบเซาต่อเนื่องยาวนาน   หลังวิกฤต การค้าไทย-จีนมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี  เศรษฐกิจของจีนขยายตัวในอัตราที่เร็วมาก มีการนำเข้าสินค้ากลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สำหรับหลายๆประเทศรวมทั้งไทย   ต่อมาที่ประชุมสภาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ครั้งที่ 7 ปี 2544 กำหนดให้มณฑลยูนานเป็นหน้าต่างภาคตะวันตกของจีน เปิดสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้   ปี 2546 การส่งออกของไทยไปยังจีนมูลค่ากว่า 236 พันล้านบาท และมูลค่านำเข้าจากจีน 251  พันล้านบาท  ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งสองกว่า 487 พันล้านบาท ทำให้จีนมีความสำคัญกับไทยอย่างมาก   นำไปสู่การทำความตกลงเขตค้าเสรีไทย-จีน ขณะเดียวกัน การลงทุน จีนกลายเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนโดยตรงต่างประเทศ เนื่องมาจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีความต้องการสินค้าและบริการหลายประเภทหลากหลาย  สำหรับการค้าการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น บางกระแสชี้ว่าญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือไทยและภูมิภาค  แต่มีบางแนวคิดระบุว่าญี่ปุ่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ซ้ำเติมวิกฤติด้วยการถอนเงินออกจากภูมิภาค และการที่ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเหลือภายหลังก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นในภูมิภาคเท่านั้น  ยังพบอีกว่า  การลงทุนของบรรษัทข้ามชาติญี่ปุ่นหลายสาขาได้ย้ายฐานการผลิตหรือเคลื่อนย้ายทิศทางเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มุ่งสู่จีนซึ่งมีบรรยากาศลงทุนดีกว่าและมีตลาดภายในขนาดใหญ่ที่ต้องการสินค้าและบริการหลายประเภทหลากหลาย

2. ผลกระทบของการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียต ต่อสถานภาพทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จีนและญี่ปุ่น และภูมิภาคเอเชียอาคเนย์  โดยภาพรวมชี้ว่า การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจเดี่ยวของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลก   ได้ส่งเสริมอิทธิพลของสหรัฐอเมริกามากขึ้นทั่วทุกมุมโลก  อาทิ สหรัฐได้ดึงไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปอยู่ในแผนการต่อต้านการก่อการร้ายโดยมีวาระซ่อนเร้น คือ  การแสวงหาแหล่งพลังงานสำรองในเอเชียกลางโดยบรรษัทข้ามชาติอเมริกันที่มีนักการเมืองในรัฐบาลอเมริกันหนุนหลัง  ขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาในทุกทางนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ต้องถูกกดดันให้จำเป็นต้องร่วมมือ  ส่วนที่จีนได้รับความกดดันจากสหรัฐอเมริกาในกรณีไต้หวัน กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการกีดกันการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก เป็นต้น    ยิ่งกว่านั้น ญี่ปุ่น (มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ) และ สหรัฐอเมริกา (มหาอำนาจทางการทหาร) ได้ร่วมกันกดดันจีนต่างๆนานาอย่างมีอคติ ด้วยเกรงว่า หากเปิดโอกาสให้จีนก้าวสู่เวทีโลก ก็จะเป็นการส่งเสริมให้จีนสะสมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและอาจเสริมสร้างอิทธิพลทางการทหารมีศักยภาพที่อาจกลายเป็นชาติมหาอำนาจคุกคามกลุ่มมหาอำนาจเดิมที่ครอบงำโลกหรืออาจเกิดการคานอำนาจในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ    นั่นคือ  ความเป็นมหาอำนาจเดี่ยวของสหรัฐอเมริกาหลังจากการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตได้ครอบงำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพื่อดำรงไว้ซึ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติ

                   3.ทิศทางและวิธีการปรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนและญี่ปุ่นในการถ่วงดุลอำนาจและผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์  หลังจากเปิดประเทศ จีนได้เปิดความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ จีนมีจุดยืนที่มั่นคงโดยแสดงบทบาทเป็นผู้ให้กับมิตรประเทศในภูมิภาค   ดังจะเห็นว่า  วิกฤติเศรษฐกิจเอเชียที่เกิดขึ้นในปี 2540 จีนได้ยืนหยัดไม่ปรับค่าเงินหยวนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่เอื้อให้ชาติต่างๆในเอเชียสามารถฟันฝ่าวิกฤติ    สำหรับท่าทีของญี่ปุ่นต่อภูมิภาคเอเชียอาคเนย์พบว่า  ญี่ปุ่นให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับอาเซียนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเพื่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค โดยเป็นการให้ความร่วมมือในหลาย ๆ ด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในด้านการเมือง และความมั่นคง อาทิ กรณีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหากัมพูชา ระยะหลังยังได้แสดงท่าทีที่แข็งขันในการเข้าร่วมการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค หรือ การประชุมเอเชียยุโรป   การจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน + ที่มีขึ้นโดยการริเริ่มของอาเซียน ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการให้การสนับสนุนและความร่วมมือของญี่ปุ่นต่ออาเซียน   เป็นต้น   อนึ่ง ผลพวงของการฟันฝ่าปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียที่เกิดขึ้นในปี 2540 นำไปสู่ การหารือของผู้นำประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออก เพื่อสร้าง  “ประชาคมเอเชียตะวันออก”   เป็นเวทีความร่วมมือร่วมใจเพื่อการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจของภูมิภาค   ทั้งนี้ การจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน + 3 มีความสำคัญทั้งด้านการทูตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-อาเซียน จีน-อาเซียน  ทั้งญี่ปุ่นและจีนมีความกระตือรือร้นในการให้ความร่วมมือเพื่อสร้างสรรค์ให้เอเชียมีสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง และทวีการพึ่งพากันและกันทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น  กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาเซียน + 3  คาดกันว่าจะเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียนกับจีนและญี่ปุ่นอย่างราบรื่นโดยผ่าน Track 2 (ภาควิชาการ หรือ เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเอเชียตะวันอก- NEAT) และ Track3 (ภาคเอกชน สื่อมวลชน หรือ ภาคประชาชน) ทั้งเวทีพหุภาคีและทวิภาคี

                 4. ทิศทางและวิธีการปรับตัวของไทยผ่านความร่วมมือกับจีนและญี่ปุ่น พบว่า ชนชั้นนำของไทยพยายามใช้ความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมและอ้างอิงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของสองชนชาติเพื่อ กระชับความสัมพันธ์ไทยจีนผ่านภาคเอกชนและสถาบันหลักของประเทศ ทั้งเพื่อผลทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างสมดุลกับชาติมหาอำนาจในเวทีโลก    ความร่วมมือไทย-จีนที่เป็นรูปธรรม อาทิ  การเปิดเสรีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย-จีนเมื่อปี 2546 คาดกันว่าจะส่งเสริมให้ภาคธุรกิจของไทยได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองโดยที่ภาครัฐให้การสนับสนุนในเรื่องเงินทุน เพื่อนำไปสู่การเปิดเสรีของสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมทั้งการบริการ และการลงทุน  ขณะที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยญี่ปุ่นถือเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติ  โดย ญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าและผู้ลงทุนที่สำคัญของไทย   โดยไทยขาดดุลทางการค้ากับญี่ปุ่นมูลค่ามหาศาลอย่างต่อเนื่อง บางครั้งนำไปสู่ความตึงเครียดแต่ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ร่วมกันเยียวยาหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง  แม้ว่าไทยอยู่ในฐานะของผู้เสียเปรียบในความสัมพันธ์นี้แต่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและเงินลงทุนจากญี่ปุ่น  อาจเป็นไปได้ว่า ไทยอาจใช้กรอบความสัมพันธ์ อาเซียน + 3  เสริมสร้างความร่วมมือกับจีนและญี่ปุ่นทั้งระดับพหุภาคีและทวิภาคีโดยผ่านช่องทาง Track 2 และ Track 3

 

 

                                 

 

หน่วยบริการวิจัย  สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 99 หมู่ 18 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12121

โทร. 0-2564-5000-3 โทรสาร 0-25645-4888 E-mail:ieas@asia.tu.ac.th