ปีงบประมาณ
2535
ชื่อโครงการ
นโยบายต่างประเทศของจีนต่อประเทศอาเซียน
: กลุ่มประเทศอินโดจีน
ผู้ทำวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย
ศิริไกร
จำนวนหน้า
80 หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย
ประเทศจีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง
ได้ปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนจากปลายปี ค.ศ.
1978 ถึงปัจจุบันเป็นเวลารวม 16
ปี ยังผลให้เศรษฐกิจของจีนเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งมีกา รคาดการณ์ว่าจีนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปในต้นศตวรรษหน้า
ดังนั้น
ความสำเร็จของการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนโดยนโยบายของ เติ้ง เสี่ยวผิง
ครั้งนี้กล่าวได้ว่ามีความสำคัญเท่ากับเป็น"การปฏิวัติครั้งที่สอง"
ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวคือ
การปฏิวัติครั้งที่หนึ่ง ในปี ค.ศ. 1949
เป็นการปฏิวัติของท่านประธานเหมา เจ๋อตุง
เป็นการปฏิวัติทางการเมือง แต่การปฏิวัติครั้งที่สองของเติ้ง เสี่ยวผิง
ในปี ค.ศ. 1978
เป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ
การปฏิวัติทั้งสองครั้งนี้
ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของจีนอย่างมากมายและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคนในประเทศ
เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ริเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ
โดยศึกษาบทเรียนความล้มเหลวของนโยบายก้าวกระโดดไกล
และการปฏิวัติวัฒนธรรมของฝ่ายซ้าย
ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายปฏิรูปก่อนประเทศสหภาพโซเวียตและประเทศสังคมนิยมอื่นๆ
ในยุโรปตะวันออก
ลักษณะเด่นของการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง คือ
การใช้แรงจูงใจแก่เกษตรและชาวนาในชนบท
การทดลองใช้กลไกการตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไปและการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสำหรับการลงทุนของต่างชาติ
ที่สำคัญคือ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงรักษาอำนาจควบคุมทางการเมืองอยู่ในมืออย่างเหนียวแน่น
เพื่อที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ
ให้อยู่ในทิศทางที่รัฐบาลต้องการได้
การดำเนินนโยบายดังกล่าวข้างต้นนี้
ถ้าพิจารณาโดยผิวเผินอาจคิดว่าเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก
แต่ในสภาพความเป็นจริง เติ้ง เสี่ยวผิง
และคณะผู้สนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาต้องประสบปัญหาต่างๆ
นานัปการในการที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ ออกมาได้
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 8 บท ใน 3
บทแรกได้แสดงให้เห็นแนวความคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนภายหลังการปฏิวัติ
ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรก่อนที่เติ้ง
เสี่ยวผิงจะเสนอแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาให้เป็นที่ยอมรับของสมาชิกพรรคได้สำเร็จ
ได้อธิบายความหมายและ เป้าหมายของพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายสี่ทันสมัย
และการดำเนินนโยบายต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาสี่ทันสมัย
ใน 4 บทหลังได้กล่าวถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกั บประเทศอาเซียนทางด้านเศรษฐกิจ
การเมืองและการทหาร และเป้าหมายการดำเนินนโยบายต่างประเทศระยะยาวของจีนต่ออาเซียน
และวิกฤติการณ์เทียนอันเหมิน
จากการศึกษาวิจัยจนกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้วิจัยได้พบว่า เติ้ง
เสี่ยวผิง
และกลุ่มผู้นำจีนที่สนับสนุนการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจของเขามีเป้าหมายที่แน่วแน่และสำคัญยิ่งยวดคือ
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายสี่ทันสมัย
เพื่อให้จีนเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ
ทัดเทียมกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ให้ได้ภายในระยะเวลา
30-50 ปีข้างหน้านโยบายการเมืองและต่างประเทศอื่นๆ
มีความสำคัญรองลงมา ดังนั้น
เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนจึงเป็นนโยบายหลักที่เป็นปัจจัยกำหนดนโยบายอื่นๆ
ให้ต้องปรับปรุงเพื่อตอบสนองเป้าหมายเศรษฐกิจของจีนให้
สำเร็จลุล่วง ดังนั้น
ผู้นำจีนจึงต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ดีกับประเทศอาเซียน
และกับประเทศต่างๆ
ทั่วโลกให้ดีและมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตย หรือผลประโยชน์ร้ายแรงอื่นๆ
ของจีน เช่น ปัญหาชนกลุ่มน้อยในประเทศ ปัญหาพรมแดนและปัญหาเกาะไต้หวัน
เป็นต้น
ผู้นำจีนได้แก้ไขปัญหาหลายประการที่เคยเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ระหว่างจีนกับอาเซียนมาช้านาน
เช่นเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคคอมมิวนิสต์ต่างๆ
ในอาเซียน
ปัญหาชาวจีนในโพ้นทะเล
และปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม
การที่จีนเป็นประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชีย
ประเทศเล็กๆ
ในภูมิภาคนี้ย่อมมีความหวาดระแวงจีนอยู่เสมอ
ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหญ่กับประเทศที่เล็กกว่า
ประเทศเล็กๆ
ในเอเชียตะหวาดกลัวจีนเสมอมา
นับตั้งแต่สมัยอดีตที่จีนเคยเจริญรุ่งเรือง
และเป็นศูนย์วัฒนธรรมของเอเชียจนถึงสมัยที่จีนอ่อนแอและแตกแยกกัน
ในปัจจุบันจีนกำลังพัฒนาเป็นชาติที่เจริญเข้มแข็งใหม่
ทั้งทางเศรษฐกิจและการทหารอีกครั้งหนึ่ง
ประเทศเล็กก็ยังคงมีความหวาดระแวงเหมือนเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะปัจจุบันเติ้ง
เสี่ยวผิง รัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่แต่ร่างเล็กของจีนได้มีอายุครบ 90
ปี ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์การเมืองจีนทั่วโลกกำลังเฝ้าดูว่าผู้บริหารจีนในปัจจุบันซึ่งกุมอำนาจการเมืองโดยการสนับสนุนของเติ้ง
เสี่ยวผิง
จะสามารถบริหารประเทศต่อไปโดยราบรื่น
โดยปราศจากการชี้นำและบารมีของเติ้งเสี่ยวผิง ได้หรือไม่ สิ่งเดียวที่เติ้ง
เสี่ยวผิง ยังไม่ได้ปฏิรูปให้เข้ารูปเข้ารอยในเมืองจีนคือ
การปฏิรูปการเมืองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบการสืบทอดอำนาจของผู้นำประเทศ
แต่ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ในกรอบของการศึกษาในหนังสือเล่มนี้
ผู้เขียนขอขอบคุณโครงการจีนศึกษาที่สนับสนุนการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้และขอขอบคุณรองศาสตาจารย์
ดร.จุลชีพ
ชินวรรโณ
ที่ได้กรุณาช่วยวิจารณ์งานวิจัยที่เป็นต้นฉบับ
แต่ถ้ายังมีความผิดพลาดใดๆ หลงเหลืออยู่
ผู้เขียนขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว
|