ปีงบประมาณ
2529
ชื่อโครงการวิจัย
ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น
: ด้านการเมือง
ผู้ทำวิจัย
รศ.ประเสริฐ จิตติวัฒนพงศ์
จำนวนหน้า
84
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย
การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เป็นการวิจัยประเภทหนึ่ง
นอกเหนือไปจากการวิจัยเพื่อค้นหาความรู้ใหม่
หรือการวิจัยประยุกต์เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมบ้านเมืองที่เรารู้จักกันดี
การวิจัยพัฒนาการเรียนการสอนมุ่งที่จะปรับปรุงคุณภาพการสอนของผู้สอน
และกระบวนการเรียนการสอนระหว่างอาจารย์และนักศึกษา จึงเป็นการวิจัยในเรื่องที่ใกล้ตัวซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยโดยตรง
ความรอบรู้เชี่ยวชาญในวิชานั้น
จริงอยู่เป็นเครื่องชี้ขาดที่สำคัญของคุณภาพการสอน
แต่ถ้าความรอบรู้เชี่ยวชาญนั้นไม่สามารถสื่อสารกับผู้เรียน
และขาดความชัดเจนในเรื่องต่างๆ ของกระบวนการเรียนการสอนแล้ว
ประโยชน์ต่อนักศึกษาก็อาจจะไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น
ในปัจจุบันการวิจัยพัฒนาการเรียนการสอนนี้ได้รับการส่งเสริมจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
เพื่อแข่งขันกันด้าน "ความเป็นเลิศทางวิชาการ"
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มีวิชาเกี่ยวกับญี่ปุ่นเปิดสอนอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขณะนี้หลายวิชาบางวิชาก็กล่าวถึงญี่ปุ่นประเทศเดียวอย่างชัดแจ้ง
บางวิชาก็กล่าวถึงญี่ปุ่นรวมๆ
ไปในวิชาที่ครอบคลุมกว้างออกไป เช่น
เอเชียตะวันออก หรือเอเชีย ขณะเดียวกันในระยะ
1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากในหมู่นักวิชาการและประชาชนทั่วไป
ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง
การบริหาร ระบบสื่อมวลชน ชีวิตด้านวรรณกรรม ภาพยนตร์ และอื่นๆ
อีกทั้งนักศึกษาก็มีความสนใจอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากไม่น้อยกว่าเรื่องของโลกตะวันตก
ภายใต้สภาพดังกล่าว
โครงการวิจัยการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาเกี่ยวกับญี่ปุ่นจึงก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
โดยครอบคลุมวิชาต่างๆ 9 วิชา คือ ภาษาญี่ปุ่น
วรรณคดีญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น การพัฒนาประเทศญี่ปุ่น
การเมืองการปกครองญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่น สื่อสารมวลชนญี่ปุ่น
การบริหารญี่ปุ่น และสังคมญี่ปุ่น ผู้ทำวิจัยได้แก่
อาจารย์ผู้สอนวิชาอยู่ในขณะนั้น รวม 9
ท่านตามลำดับ คือ อาจารย์ผกาทิพย์ สกุลครู อาทร
ฟุ้งธรรมสาร พรรณี
ฉัตรพลรักษ์ ลิขิต
ธีระเวคิน ประเสริฐ จิตติวัฒนพงศ์ อนงค์
โรจน์วณิชย์ อรทัย ศรีสันติสุข ไว
จามรมาน และยุพา คลังสุวรรณ
ในระหว่างดำเนินการศึกษาวิจัย อาจารย์ผกาทิพย์ สกุลครู
เดินทางไปต่างประเทศ จึงเหลืออาจารย์ผู้ร่วมโครงการ 8
ท่าน
คณะผู้ร่วมโครงการได้พิจารณาถึงรูปแบบการนำเสนอปัญหา
และในที่สุดได้กำหนดรูปแบบร่วมกว้างๆ ดังนี้ คือ จะพิจารณาประเด็นต่างๆ
รวม
7
ประเด็น ได้แก่ วัตถุประสงค์ของวิชา หัวข้อบรรยาย ตำรา
หนังสือหรือบทความอ่านประกอบ วิธีการสอน
การประเมินผล และปัญหาอื่นๆ โดยจะเริ่มด้วยคำขึ้นต้น
ซึ่งจะกล่าวถึงสถานภาพ ภูมิหลัง และข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับวิชานั้นๆ
ผู้ทำวิจัยแต่ละคนจะพิจารณาเสนอข้อถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ
ทั้ง 7 เหล่านี้ ในแง่ของสภาพที่เป็นอยู่
เหตุผลรองรับ ข้อวิจารณ์หรือข้อสังเกต และข้อแนะนำเสนอแนะ
เท่าที่แต่ละประเด็นจะเอื้ออำนวย ในกระบวนการศึกษาวิจัย
คณะผู้เข้าร่วมโครงการได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
ข้อติชม และซักถามระหว่างกัน
โดยมี Workshop รวม 10
ครั้ง
การที่มีรูปแบบการวิจัยร่วมกันช่วยให้การตั้งคำถาม
และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในระหว่าง Workshop
ทั้ง 10 ครั้ง
เป็นไปได้ง่ายขึ้นและเป็นประโยชน์ ในครั้งสุดท้าย
ได้เชิญอาจารย์ผู้สอนวิชาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันจากสถาบันการศึกษาอื่นๆ
มาให้ข้อคิดเห็น
รวมทั้งกล่าวถึงกรณีการเรียนการสอนที่ตนดูแลอยู่ในสถาบันของตนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
กล่าวได้ว่าผู้ทำวิจัยได้ประโยชน์จาก Workshop
เหล่านี้เป็นอย่างมาก นำไปสู่การปรับปรุงข้อเขียนของตน
การวิจัยเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอน
เป็นการวิจัยเพื่อการทำหน้าที่ในฐานะ
"ครู"
ของผู้สอนและหน้าที่ในฐานะแหล่ง "ผลิตบัณฑิต"
ของมหาวิทยาลัยโดยตรง แม้จะมีข้อทักท้วงว่า
ความรอบรู้เชี่ยวชาญหรือ "รู้จริง"
ในวิชานั้นๆ
ต่างหากที่จะมาก่อน
การวิจัยด้านนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการแสวงหาความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างจะขาดเสียมิได้
และโครงการวิจัยที่พยายามรวมกลุ่มวิชา
ซึ่งในกรณีนี้รวมกลุ่มในลักษณะประเทศยิ่งกว่าสาขาวิชา
ย่อมมีประโยชน์ในการมองปัญหาเดียวกัน
จากแต่ละแง่มุมและจากแต่ละประสบการณ์
การซักถาม ติชม
และปะทะสังสรรค์ระหว่างกัน ในช่วง
Workshop รวม 10 ครั้ง
เป็นประสบการณ์ที่ยังประโยชน์แก่ผู้สอน นำไปสู่การปรับปรุงการทำหน้าที่
"ครู"
ของตนให้ถึงซึ่งความพร้อม อย่างไรก็ตาม
การวิจัยที่ดึงคนเข้ามาร่วมมากความคิดเห็นก็
หลากหลายมาก มติร่วมจะบรรลุได้ก็โดยลำบาก
ยิ่งเมื่อธรรมชาติของแต่ละวิชาแตกต่างกันไปตามสาขาชำนัญและลักษณะของวิชา
การประสานรูปแบบการนำเสนอจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
แต่จากที่ปรากฎในเอกสารศึกษาวิจัยทั้งหมดน่าจะถือได้ว่าบรรลุความสำเร็จในระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่านี่เป็นโครงการวิจัยกลุ่มวิชา
ในลักษณะ inter-disciplinary
ที่นำนักวิชาการที่ชำนัญเฉพาะในสาขาวิชาต่างๆ กันเกือบ 10
สาขาวิชา มาพิจารณาปัญหาเดียวกันร่วมกัน เป็นครั้งแรก
และเมื่อมีคำถามว่าวิชาเกี่ยวกับญี่ปุ่นสอนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สอนกันอย่างใด
เอกสารการวิจัยนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ
|