บทคัดย่อโครงการวิจัยด้านเอเชียตะวันออกศึกษา
(งบประมาณแผ่นดิน)
ปีงบประมาณ
2528
ชื่อโครงการวิจัย
พัฒนาการด้านจีนศึกษาในประเทศไทย ค.ศ.
1970-1988
ผู้ทำวิจัย
รศ.ดร.จุลชีพ
ชินวรรโณ
จำนวน 165
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย
จีนศึกษา
หรือการศึกษาเกี่ยวกับประเทศจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทวีความสำคัญ
และได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในวงวิชาการในประเทศไทยทั้งนี้เป็นเพราะสาธารณรัฐประชาชนจีน
ไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกหรือมีขนาดใหญ่มาก
อีกทั้งยังมีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมกับประเทศไทย
ตลอดจนประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งแต่
ค.ศ.
1975 หรือ พ.ศ.
2518 ยิ่งไปกว่านั้น
จีนในปัจจุบันได้ทวีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาครวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การวิจัยเกี่ยวกับ
"จีนศึกษาในประเทศไทย"
นี้มุ่งวิเคราะห์การพัฒนาการของความรู้และสถานภาพของความรู้เกี่ยวกับจีนศึกษาในปัจจุบัน
ทั้งในด้านหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
ตลอดจนกิจกรรมวิชาการต่างๆ
ทั้งที่เป็นงานวิจัย
งานเขียนตำรา หนังสือ บทความวิชาการ
และการจัดสัมมนา อภิปรายทางวิชาการ
เพื่อให้ทราบถึงสภาพทิศทางและปัญหาตลอดจนแนวโน้มอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดแนวทางและนโยบายในการศึกษาวิจัยและเพิ่มพูนองค์ความรู้เกี่ยวกับจีนให้รอบด้านและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การวิจัยเกี่ยวกับ
"จีนศึกษาในประเทศไทย"
นี้
จะเน้นเฉพาะในช่วงทศวรรษที่
1970 คือ ตั้งแต่ ค.ศ.
1971 จนถึง ค.ศ.
1984 (พ.ศ.
2514-2527)
โดยพิจารณาวิเคราะห์ลักสูตรการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่เกี่ยวกับจีนในมหาวิทยาลัยของรัฐเท่านั้น
การวิจัยนี้จะเป็นการวิจัยเอกสาร
(Documentary Research)
โดยจะวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรจากคู่มือการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
ตลอดจนงานเขียน งานวิจัย
ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการและหนังสือต่างๆ
ความสนใจเกี่ยวกับจีนในประเทศไทยได้มีมานานแล้ว
แต่การศึกษาเกี่ยวกับจีนในเชิงวิชาการได้เพิ่งมีขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่
2 พร้อมๆ
กับการพัฒนาของการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย
การศึกษาเกี่ยวกับจีนในอดีตเป็นไปด้วยความยากลำบากและมักถูกกระทบกระเทือนจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านการ
เมืองภายในประเทศและระหว่างประเทศ
พัฒนาการของจีนศึกษาในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น
3 ช่วง คือ
ช่วงแรกเป็นช่วงก่อนทศวรรษที่
1970 คือ
ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่
2 จนถึง ค.ศ.
1970 (หรือ พ.ศ.
2513)
การเรียนการสอนเกี่ยวกับจีนมีอุปสรรคมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและยึดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์
การสอนเกี่ยวกับจีนในช่วงนี้มักเน้นความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากกว่าการเมืองและนโยบายต่างประเทศโดยผู้สอนมักสอนจีนรวมกับญี่ปุ่นและเกาหลี
ในวิชาที่เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกในช่วงที่สอง
ระหว่าง ค.ศ.
1971-1975 (พ.ศ.
2514-2518)
เป็นช่วงที่การศึกษาเกี่ยวกับจีนเฟื่องฟูมาก
มีนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ
ที่สนใจจีนโดยเฉพาะ (specialists)
และได้นำเสนอผลงานทางวิชาการ
ทั้งที่เป็นหนังสือและบทความ
ทำให้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับจีนดีขึ้น
อีกทั้งบรรยากาศทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในหรือภายนอกก็ช่วยเกื้อหนุนต่อการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับจีนในด้านต่างๆ
ส่วนในช่วงที่สาม เป็นช่วงหลัง ค.ศ.
1975 (พ.ศ.
2518) จนถึงปัจจุบัน
ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับบสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในวันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ.
2518
การศึกษาเกี่ยวกับจีนอย่างเป็นทางการในวันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ.
2518
การศึกษาเกี่ยวกับจีนในช่วงนี้ขยายตัวมากขึ้น
มีนักวิชาการและคนไทยอาชีพต่างๆ
ไปเยือนจีนและเขียนหนังสือเกี่ยวกับจีนมาก
ทำให้ความรู้เกี่ยวกับจีนเพิ่มมากขึ้น
ส่วนในด้านการเรียนการสอนนั้น
ได้มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดสอนวิชาที่เกี่ยวกับจีนในระดับปริญญาตรี
มีรวมทั้งสิ้น
212 วิชา
ในสาขาต่างๆ
รวมทั้งประวัติศาสตร์
การเมือง เศรษฐกิจ
ภาษา วรรณคดี และวัฒนธรรม
ส่วนในระดับปริญญาโท มีอยู่เพียง
2 สาขา คือ
รัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์
โดยมีวิชาที่เกี่ยวกับจีนประมาณ
12 วิชา
ในด้านการวิจัย
งานวิจัยเกี่ยวกับจีนมีน้อยมาก
ส่วนใหญ่จะเป็นวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับปริญญาโท
ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้จัดตั้งสถาบันศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจีนขึ้น
เช่น
ใน พ.ศ.
2527
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้จัดตั้งสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาขึ้น
เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับจีน
ญี่ปุ่น และเกาหลี
นับเป็นสถาบันวิชาการระดับคณะแห่งแรกในประเทศไทยที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับจีน
ต่อมาใน พ.ศ.
2528
สถาบันเอเชียศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ พ.ศ.
2510
ในฐานะหน่วยงานของภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก็ได้เปลี่ยนฐานะเป็นสถาบันวิจัยเทียบเท่าคณะ
โดยมีจุดประสงค์ที่จะศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจีน
ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ
ใน
เอเชีย
การจัดตั้งสถาบันทั้งสองคงจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการแสวงหาความรู้
การค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับจีนต่อไปในอนาคต
โดยทั่วๆ
ไป
แม้ว่าพัฒนาการของจีนศึกษาในช่วง
15
ปีที่ผ่านมาจะมีส่วนช่วยให้องค์ความรู้
(Body of knowledge)
ที่เกี่ยวกับจีนเพิ่มมากขึ้น
แต่การศึกษาเกี่ยวกับจีนก็ยังไม่
"รอบด้าน"
และ "ลึกซึ้ง"
เพราะยังมีอุปสรรคและปัญหาอีกหลายประการ
เช่น
การขาดนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับจีนศึกษาในหลายๆ
ด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสังคมและวัฒนธรรม
การขาดแคลนตำราและหนังสือเกี่ยวกับจีนที่ลึกซึ้งและทันสมัยในเกือบทุกด้าน
ส่วนผลงานวิจัยเกี่ยวกับจีนก็ยังมีอยู่น้อย
ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการขาดเงินทุนอุดหนุน
นอกจากนั้นในด้านการเรียนการสอนยังมีปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อนของหลักสูตรและความลำบากในการศึกษาเกี่ยวกับจีนในเชิงสหวิทยาการ
(Interdisciplinary)
การพัฒนาจีนศึกษาในอนาคตน่าจะมีเป้าหมายในการเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับจีนให้
"รอบด้าน"
และ "ลึกซึ้ง"
ยิ่งขึ้น
โดยกำหนดทิศทางให้ชัดเจน
เช่น
การสร้างผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับจีนในสาขาที่ขาดแคลนโดยพยายามหาทุนการศึกษาหรือทุนฝึกอบรมระยะสั้น
ตลอดจนทุนอุดหนุนในการวิจัยและพัฒนาตำราและหนังสือวิชาที่เกี่ยวกับจีนในด้านต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้นควรมีการ "ระดมสมอง"
เพื่อพัฒนาหลักสูตรวิชาที่เกี่ยวกับจีน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสร้างลักษณะ "สหวิทยาการ" อีกทั้งควรขยายการเผยแพร่ความรู้ในรูปการอภิปราย
บรรยาย สัมมนา
หรือการอบรมพิเศษให้มากขึ้น
ควรมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับจีน
และที่สำคัญที่สุด คือน่าจะมีการ
ร่วมมือและประสานงานระหว่างสถาบันวิชาการในประเทศและต่างประเทศ ในการทำกิจกรรมวิชาการบางอย่างร่วมกัน
การพัฒนาจีนศึกษาในทิศทางดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับจีนแต่จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดี
และสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย |