ความสำคัญของปัญหา
ประวัติศาสตร์การให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาของญี่ปุ่น
(ODA)
ต่อประเทศไทยมีความเป็นมาเกือบ 50 ปี
นับตั้งแต่ภายหลังที่ญี่ปุ่นได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1952
ญี่ปุ่นได้เริ่มให้
ODA
ต่อประเทศไทยในรูปของค่ากึ่งปฏิกรรมสงคราม
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ถึงปลายทศวรรษที่ 1980
การให้ความช่วยเหลือของญี่ปุ่นมีทั้งในรูปของเงินให้เปล่าและเงินกู้
และมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและผลประโยชน์ของญี่ปุ่นในประเทศไทย
จากข้อวิพากษ์วิจารณ์บางประการที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศผู้รับและในประเทศญี่ปุ่น
ทำให้เป้าหมายการให้
ODA
ของญี่ปุ่นในประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมทั้งประเทศไทยได้ถูกปรับเปลี่ยนไปตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990
กฎบัตร
ODA
ปี 1992
(ODA Charter 1992)
ได้ถูกนำมาพิจารณาเป้าหมายและทิศทางการให้ใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญไปในแง่มุมที่มิใช่ทางเศรษฐกิจ
(non-economic aspects)
เช่น การรักษาสิ่งแวดล้อม
(environmental protection)
การส่งเสริมด้านการศึกษา
(promotion of education )
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
(Human Resources Development)
เป็นต้น การให้
ODA
ของญี่ปุ่นต่อประเทศไทยได้มุ่งเป้าตามทิศทาง
ดังกล่าว โดยญี่ปุ่นได้ให้
ODA
แก่ไทยในด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนโครงการและปริมาณเงินช่วยเหลือ
แม้ว่ากฎบัตร ดังกล่าวได้มีการปรับปรุงใหม่ในปี ค.ศ. 2003
แต่เป้าหมายหลัก และทิศทางการให้
ODA
ของญี่ปุ่นต่อประเทศกำลังพัฒนายังมุ่ง
ไปยังด้านที่มิใช่ทางเศรษฐกิจ
ในส่วนของรายละเอียดการให้
ODA
ของญี่ปุ่นในด้านการศึกษา
หากสังเกตจากตารางที่แนบมาด้วยนี้จะพบว่า จุดประสงค์ของ
ODA
ของญี่ปุ่นในด้านการศึกษาในประเทศไทยนั้น
ได้มุ่งไปที่การขยายการศึกษาทั้งทางด้านคุณภาพและปริมาณ
ในขณะที่การศึกษาด้านญี่ปุ่นศึกษายังไม่ได้รับความสนใจมากนัก
แม้ว่าบางโครงการจะดำเนินการไปแล้ว
แต่จำนวนโครงการยังค่อนข้างน้อย
สถานการณ์ดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นอย่างมากในโครงการประเภทที่ประเทศผู้รับร้องขอ
(request based)
และส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากฝ่ายความไม่ใจใส่
(no-intention)
จากฝ่ายญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันอาจเกิดข้อโต้แย้งได้ว่า
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบการให้ความช่วยเหลือของญี่ปุ่น
คือ กองทุนญี่ปุ่น
(Japan Foundation)
ได้ดำเนินการอย่างจริงจังแล้วด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
มีผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทยหลายท่าน
คือ ดร. กิตติ ประเสริฐสุข คุณทรายแก้ว ทิพากร และ
คุณ นิภาพร รัชตพัฒนกุล งานศึกษาของทั้ง 3 ท่าน
ได้แสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นศึกษาใน
ประเทศไทยยังไม่ได้มีการส่งเสริมมากนักยกเว้นเรื่องภาษา
และปัญหาต่างๆยังคงปรากฎอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
การมุ่งความสนใจในบางมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ผู้รู้เรื่องญี่ปุ่นน้อย
และไม่มีเครือข่ายด้านญี่ปุ่นศึกษา
ดังนั้น
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทย
ยังไม่เป็นที่นิยมและยังไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ
ทั้งๆที่ปริมาณ
ODA
ของญี่ปุ่นต่อประเทศไทยในด้านการศึกษานั้นมีปริมาณมากและมีมาเป็นระยะเวลานาน
กองทุนญี่ปุ่นก็ดำเนินการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง
มาโดยตลอด คำตอบคือ อาจเป็นเพราะขาดการเชื่อมโยงระหว่าง
ODA
ของญี่ปุ่นและการส่งเสริมญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทย
หรือมิฉะนั้นอาจเป็นเพราะวิธีการส่งเสริมญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทยยังไม่เหมาะสมอย่างเพียงพอ
และเกิดคำถามขึ้นอีกว่า
ภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นควรจะได้รับการส่งเสริมเป็นอันดับแรกหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น
เนื่องจากความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและบทบาทของญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความเข้าใจที่มากขึ้นในหลายๆด้านหลายแง่มุมของญี่ปุ่นนอกเหนือจากภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นในสังคมไทยจึงมีความต้องการเพิ่มขึ้น
ดังนั้น
การส่งเสริมการเรียนการสอนญี่ปุ่นศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะมีความน่าสนใจและมีความสำคัญ
มากขึ้นหากมีการศึกษาว่าวิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์จาก
ODA
ของญี่ปุ่นในการที่จะส่งเสริมญี่ปุ่นศึกษาให้
แพร่หลายในประเทศไทยยิ่งขึ้น
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้มีเวทีสำหรับการถกเถียงและระดมสมองเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ
ODA
ของญี่ปุ่น และญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทย
2.
เพื่อให้เกิดโอกาสสำหรับนักวิชาการด้านญี่ปุ่นศึกษาที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมสร้างเครือข่ายในอนาคตร่วมกัน
3.
เพื่อสร้างสมาคมญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทย
|
กำหนดการสัมมนา
08.30 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 09.10
น. กล่าวรายงาน
โดย
- รศ. ยุพา คลังสุวรรณ์
ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
09.10 09.20
น.
กล่าวต้อนรับ
โดย - รศ.
ดร.กุลธิดา ท้วมสุข
รองอธิการบดีฝ่าบวิชาการและวิเทศสัมพันธ์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
09.20 09.30
น.
กล่าวเปิด
โดย
-
Mr.Takashi Sudo, Director
General
The Japan
Foundation, Bangkok
09.30 10.00 น.
ปาฐกถานำ
โดย
-
Mr.Takero Mori,
First
Secretary
Japan Information Service,The
Embassy of Japan
10.15
12.45 น. อภิปราย
เรื่อง "บทบาทที่คาดหวังต่อฝ่ายญี่ปุ่น
และความร่วมมือระหว่างนักวิชาการในส่วนกลาง
และส่วนภูมิภาค
กับการสร้างความเข้มแข็งให้กับ
เครือข่ายญี่ปุ่นศึกษาในประเทศไทย"
โดย
- พันเอก หญิง นงลักษณ์
ลิ้มศิริ
กองวิชาประวัติศาสตร์
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- รศ. ดร.
ฉันทนา จันทร์บรรจง
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ผศ. ดร.วรวุฒิ
จิราสมบัติ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ผศ. ดร.วรเวศม์
สุวรรณระดา
คณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-
คุณทรายแก้ว ทิพากร
สถาบันเอเชียศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
-
ผ.ศ.
ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ผศ. เบญจางค์ ใจใส
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
-
อาจารย์นิศากร ทองนอก
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี
ดำเนินรายการโดย
- ผศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ
คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
-
ผศ. ทัศนีย์
เมธาพิสิฐ
คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
12.45
14.00 น. อาหารกลางวัน
14.00
17.30 น.
หารือเรื่องการสร้างเครือข่าย /
สมาคมญี่ปุ่นศึกษา
ในประเทศไทย
* ข้อมูลเรื่องประสบการณ์ของการสร้างสมาคมญี่ปุ่น
ศึกษาในต่างประเทศ
- รศ. ดร. เสาวลักษณ์ สุริยะวงศ์ไพศาล
คณะอักษรศษสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
*
หารือเรื่องการสร้างเครือข่าย /
สมาคมญี่ปุ่นศึกษา
ในประเทศไทย
โดย
- รศ. ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รศ. ปราณี จงสุจริตธรรม
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- ผศ. ดร.ศิริพร วัชชวัลคุ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
17.30
น.
ปิดการสัมมนา
หมายเหตุ เวลา
10.00-10.15 น.และ 15.30-15.45 พักรับประทานอาหารว่าง
More information ,please contact: Japanese
Studies Program Institute of East Asian Studies
Thammasat University
Rangsit Campus Pathumthani
12121,Thailand
Tel.0-2564-5000-3
Fax.0-2564-4777
e-mail:
ieas@asia.tu.ac.th ,
ieas@tu.ac.th http://www.asia.tu.ac.th
|
|