การชุมนุมประท้วงในพม่า
ที่มาและสถานการ์การชุมนุมประท้วง
การชุมนุมประท้วงในพม่า
มีจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลประกาศปรับราคาเชื้อเพลิงเมื่อวันที่
15
สิงหาคม
2550
โดยราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นร้อยละ
100
หรือ
1
เท่าตัว และราคาก๊าซปรับตัวขึ้นร้อยละ
500
หรือ
5
เท่าตัว
การดำเนินการดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน
เนื่องจากทำให้อัตราค่าโดยสารและสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเพิ่มสูงขึ้น
จากการประมาณการนั้นพบว่าประชากรถึงร้อยละ 90
ของประชากรพม่า
50
ล้านคน ดำเนินชีวิตอยู่ใต้หรือใกล้เส้นความยากจน
(poverty line)
กล่าวคือ มีรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ
1
เหรียญสหรัฐ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ
2000
ความไม่พอใจอันเกิดจากการปรับราคาน้ำมัน
ได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วง ซึ่งเริ่มในวันที่
19
สิงหาคม
2550
ในกรุงย่างกุ้ง
(Yangon) ด้วยข้อเรียกร้องให้มีการลดราคาน้ำมัน
ซึ่งต่อมาในวันที่
22
สิงหาคม การชุมนุมประท้วงได้เริ่มต้นขึ้นอีก
โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมสูงมาก
ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์แรกในรอบทศวรรษนับตั้งแต่คณะทหารพม่าปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อ
พ.ศ.
2531 การชุมนุมในวันที่
22
สิงหาคมนี้
หน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยจัดตั้งของรัฐบาลได้ขัดขวางการชุมนุม
โดยมีการจับกุมผู้ชุมนุมที่เคยมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อ
พ.ศ.
2531
และไล่ล่าบุคคลดังกล่าว
โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมประท้วง
การจับกุมและขัดขวางผู้เข้าร่วมชุมนุมอย่างสงบ
ได้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์และการเรียกร้องจากนานาชาติ
โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
(European Union EU)
ให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวบุคคลที่ถูกจับกุม
และยุติการปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบ
เพราะการกระทำดังกล่าวขัดต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน
นอกจากนี้
การใช้มาตรการรุนแรงของรัฐบาลได้เป็นผลให้เกิดความเคลื่อนไหวในหมู่พระสงฆ์
โดยพระสงฆ์เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน
โดยพระสงฆ์ได้ออกมาชุมนุมครั้งแรกที่ปะโคกู (Pakkhoku)
ในมณฑลมะเกว (Magway
Division)
เมื่อวันที่ 9 กันยายน
และหลังจากนั้นการชุมนุมได้เกิดขึ้นในอีกหลายเมือง
แต่การชุมนุมที่ปะโคกู
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของพม่าได้ทำร้ายพระสงฆ์
ส่วนฝ่ายพระสงฆ์ได้จับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็นตัวประกัน
แต่ได้ปล่อยตัวในเวลาต่อมา
พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลขอโทษต่อการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
มิเช่นนั้นจะไม่ปฏิบัติศาสนกิจที่เกี่ยวข้องกับคณะทหาร
แต่ข้อเรียกร้องนี้ไม่ได้รับการตอบสนอง
ถัดจากนั้นมา
การชุมนุมที่มีพระสงฆ์เป็นแกนนำได้เกิดขึ้นทั้งที่ย่างกุ้งและอีกหลายเมือง
และจำนวนผู้ชุมนุมได้เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนเป็นต้นมา
ซึ่งพระสงฆ์ได้มีการรวมตัวในนามขบวนพระสงฆ์แห่งชาติ (National
Front of Monks)
และได้เสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลขอโทษต่อการใช้ความรุนแรง
ลดราคาน้ำมันและเปิดการเจรจากับกลุ่มที่คัดค้านรัฐบาล
อันได้แก่ สันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National
League for Democracy)
และขบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษา (The 88
Generation Students Movement)
ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อ
พ.ศ. 2531
นับตั้งแต่วันที่
24
กันยายนเป็นต้นมา
รัฐบาลพม่าได้ตระหนักถึงความยากลำบากในการคุมสถานการณ์
เพราะจำนวนผู้ชุมนุมได้เพิ่มขึ้นตลอด
และในที่สุดก็ได้ใช้มาตรการแข็งกร้าวในการสลายการชุมนุม
ซึ่งเป็นผลให้ผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับกุม
และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเสียชีวิต
จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
รัฐบาลพม่าซึ่งนำโดยคณะทหารต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอก
แรงกดดันจากภายใน
1.
ความไม่พอใจของประชาชน
อันเนื่องมาจากภาวะความบีบคั้นในการดำเนินชีวิต
ซึ่งเกิดจากการปรับตัวของราคาน้ำมันที่กระทำอย่างฉับพลัน
จึงทำให้ประชาชนประสบความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
2.
ข้อเรียกร้องให้มีการพัฒนาประชาธิปไตย
นับถึงปัจจุบันเป็นระยะ
14
ปี ที่มีการประชุมสมัชชาแห่งชาติ
(National Convention)
เพื่อดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญ
และถึงแม้จะได้ปิดการประชุมเมื่อวันที่
3
กันยายนที่ผ่านมา
แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยว่า
สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีลักษณะเป็นอย่างไร
และการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นเมื่อไร
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อเกิดการชุมนุมต่อต้านการขึ้นราคาน้ำมัน
ประเด็นการเรียกร้องทางด้านการเมืองจึงได้เกิดขึ้นตามมา
3.
ปัญหาความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลจะเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงต่อพระสงฆ์
เพราะชาวพม่าจะนับถือพระสงฆ์อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้
พระสงฆ์ยังมีการจัดองค์กรที่ดี
ซึ่งจากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ.
2531
พระสงฆ์ได้มีบทบาทสำคัญเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักศึกษา
แรงกดดันจากภายนอก
1.
การเรียกร้องจากนานาชาติให้รัฐบาลพม่าเปิดการเจรจากับฝ่ายค้าน
เคารพในสิทธิมนุษยชน ยุติการจับกุมคุมขังทางการเมือง
และปล่อยตัวนางออง ซาน ซูคยี
(Aung
San Suu Kyi)
2.
การคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
(EU)
ซึ่งเป็นผลให้พม่าถูกตัดสิทธิพิเศษในการส่งสินค้าไปยังตลาดดังกล่าว
รวมทั้งประเทศดังกล่าวยุติการค้าอาวุธกับทางรัฐบาลพม่า
และจากเหตุการณ์รุนแรงครั้งหลังสุด ประธานาธิบดีบุช
(George W. Bush)
ประกาศที่จะใช้มาตรการเข้มงวดต่อผู้นำพม่า อาทิเช่น
การเข้มงวดในการให้วีซ่า เป็นต้น
สำหรับประเทศที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพม่า
ได้แก่
1. จีน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สหรัฐอเมริกาพยายามนำปัญหาพม่าเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
เพื่อวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลพม่า
แต่ถูกจีนและรัสเซียใช้สิทธิยับยั้ง ดังนั้น
พม่าจึงมีจีนเป็นเกราะกำบังในเวทีระหว่างประเทศ
พม่าสามารถซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารจากจีน
จีนได้ประโยชน์จากการนำเข้าอัญมณีและไม้จากพม่า
รวมถึงการพัฒนาก๊าซธรรมชาติในพม่า
และการวางท่อก๊าซจากชายฝั่งอาระกัน
(Arakan)
ของพม่าไปยังยูนนาน
(Yunnan)
ของจีน นอกจากนี้
จีนยังอาศัยพม่าเป็นตลาดสินค้าอีกด้วย
2. อินเดีย
เมื่อเทียบกับจีนจะมีอิทธิพลน้อยกว่า
แต่อินเดียมีความมุ่งหวังที่จะใช้พม่าเป็นตัวถ่วงดุลกับจีน
โดยไม่ต้องการให้จีนเข้ามามีอิทธิพลครอบงำพม่า
นอกจากนี้
การร่วมมือกับพม่ายังจะช่วยลดปัญหากลุ่มกบฏในนาคาแลนด์
(Nagaland)
มีตลาดที่จะขายอาวุธ
และอินเดียยังสนใจที่จะพัฒนาก๊าซธรรมชาติในพม่า
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการเอาชนะคู่แข่งอย่างปิโตร-ไชน่า
(Petro-China)
ของจีนได้
ดังที่กล่าวมา
ถึงแม้ว่าจีนจะมีอิทธิพลต่อพม่า
แต่จีนก็ย้ำว่าจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น
อย่างไรก็ตาม
จีนเองก็กังวลว่าหากรัฐบาลพม่าใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต
จีนอาจถูกตำหนิในฐานะผู้การสนับสนุนรัฐบาลที่ทำการปราบปรามประชาชน
ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพพจน์ของจีนในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกที่จะมีขึ้น
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
รัฐบาลทหารของพม่าคงจะไม่ยอมให้สถานการณ์ขยายวงกว้างออกไป
จนเหนือขอบเขตการควบคุม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
ย่อมหมายถึงการสูญสิ้นอำนาจของกลุ่มผู้ปกครอง ดังนั้น
มาตรการปิดล้อมหรือสกัดกั้นบุคคลที่เป็นแกนนำการชุมนุมคงจะมีการนำมาใช้
แต่ถ้าหากมีการใช้ความรุนแรง
จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ย่อมทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลพม่ายิ่งตกต่ำลงไปอีก
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
จึงไม่อาจที่จะสรุปได้ว่าฝ่ายต่อต้านจะยุติ
เพราะกระแสความไม่พอใจต่อรัฐบาลไม่ใช่ราคาน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว
หากรวมไปถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ฉะนั้น
การจะเข้าไปดำเนินธุรกิจในพม่าขณะนี้
คงต้องรอดูสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางใด
|